วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhf7K4PHZPiIF0jW-dOow0y1Ta3jWXMUl-v4k9f_39zQ01qiQ3dNvUDD2EMgnxLciTtbR1KgCB0c7MnhB0JNsDjxK_bl2v2mV2tKLoIzwMTz93huNACDgDmLC7etOV1XJRx79RV_RW68A/s400/hanumanprasankay.jpg
 หนุมานประสานกาย
ใบ   รสฝาดเย็นเอียน แก้ไอ แก้หอบหืด แก้อาเจียนเป็นเลือด (วัณโรคปอด)
        ห้ามเลือดและสมานแผลได้ีดี
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikUUCRet-EdNUW1vUOrumJHhtdyWsOZ-khm8d53LBktVz7yPvrjDS3Eod7hOGXHKo4YONg7WupMNQ8wlI3ZAy9B_xOwU3n7YkjZBfjPknIIehyphenhyphen6aqnZvwepubJWC6msuJ0NLX7hmUL_g/s400/pib.jpg
ปีบ (ก้องกลางดง)
ดอก  รสเฝื่อนกลิ่นหอม  ตากแห้งผสมบุหรี่สูบ  แก้ริดสีดวงจมูก
ราก   รสเฝื่อน  บำรุงปอด แก้อาการไอ หอบเหนื่อย  แก้วัณโรค  และปอดพิการ
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUh-h7B_DNLO7UeItz8fqzuGBnWNcNYRPPtt-uDZwIgQxx0BHdGNYBNUhNo4NT19TOexoRY3fwkd1NgtN7G6gXpse6S9N0A2hyo_7ls2VEW8XHKXdnlRz7cEpfKV4LhnPKyOwo761srg/s400/2403%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89+%E0%B8%A2+%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88.jpg
กระแตไต่ไม้
หัว รสจืดเบื่อ ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้เบาหวาน ขับพยาธิ แก้ไตพิการ แก้แผลพุพอง แผลเนื้อร้าย
ขับระดูขาว คุมธาตุ



https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEifC6cbew6-d1M6KpsBBhbiCqhuFRGvNlkZp0903qkb2VnV_LrKchliQqMj7Lby1yh05lMfmgGET8SML5wZKB8Z8sjZmz5z9MzNy9yPH-cLwSwZBBX3tsYK2lxQn0yj7W1OhciABFDEaw/s400/2422%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%81+%E0%B8%A2+%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88.jpg
อัญชัน
เมล็ด รสมัน        ระบายท้อง
ราก    รสขมเย็น  ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ระบายท้อง ฝนหยอดตาแก้ตาเจ็บ ตาฟาง ทำให้ตาสว่าง
                            ทำยาสีฟัน ทำให้ฟันทน แก้ปวดฟัน
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPX5rB60fkDLX3krljS-mPLpNijsn946r-8dxMZuJjKUWDN7MpQ_1177sLpEM2KnZJrQuc76NQu4tj3c2cYUomgXbPIVIw69btPH4yIZ1DC3TuIR_RUuXz40HnAiORDih1veRPlqOe4g/s400/2499%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3+%E0%B8%A2+%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88.jpg
อินทนิลน้ำ
ใบ รสขมจืดเล็กน้อย แก้ทางเดินปัสสาวะพิการ แก้เบาหวาน
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMX2kO6-vCB4xS6n8bsS4I6rmxW8TaxQVRpSymoprsH5Jn_s-3rXjzssEwmnV4XwzdHRWDlzU6tys_99RlkWP_4u6zqTvoleeOdyURNG4Wje327OyZxAKDm_XZ85-VDvtmk93E_TWbCA/s400/2611%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87+%E0%B8%A2+%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88.jpg
อ้อยแดง
ลำต้น  รสหวานและขม  แก้ปัสสาวะพิการ  แก้ขัดเบา 
                                       ใช้ลำต้นสดวันละ ๑ กำมือ (สดหนัก ๗๐-๙๐ กรัมแห้งหนัก ๓๐-๔๐ กรัม)

                                       หั่นเป็นชิ้นๆ  ต้มกับน้ำดื่ม วันละ ๒ ครั้ง ก่อนอาหาร ครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สมุนไพรจัดได้ว่าเป็นยาชั้นเอกของโลกที่มักจะสร้างปาฏิหาริย์ในการรักษาโรคต่างๆ ได้อยู่บ่อยครั้ง อาจจะด้วยความที่สมุนไพรเหล่านี้คือสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเอาไว้ต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆ มนุษย์อย่างเราจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักการพึ่งพาอาศัยธรรมชาติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเอง
มะเร็งจัดได้ว่าเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ในปัจจุบันการแพทย์สมัยใหม่ก็ยังไม่สามารถที่จะค้นพบวิธีการในการรักษาให้หายขาดได้ เพียงแค่ว่าสามารถช่วยรักษาตามอาการที่เป็นไปให้ดีขึ้นก็เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนจึงเลือกที่จะพึ่งสมุนไพรในการช่วยรักษาโรคมะเร็งที่ว่า ลองมาทำความรู้จักกับสมุนไพรที่เชื่อว่าช่วยในการรักษาโรคมะเร็งให้หายได้
สมุนไพรที่สามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งได้

1. มังคุด มังคุดจัดว่าเป็นราชินีผลไม้ของไทยเลยก็ว่าได้ ถือว่าเป็นสมุนไพรที่ค่อนข้างมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก เพราะสารอย่าง GM-1 จากมังคุดสามารถช่วยให้การทำลายเซลล์มะเร็ง เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส ต่างๆ ได้เป็นอย่างดีที่สำคัญไม่มีผลข้างเคียงกับร่างกายของคนเราอีกด้วย
2.
ขมิ้นชัน จากการวิจัยพบว่าสารสกัดจากขมิ้นสามารถช่วยในการยับยั้งเซลล์มะเร็งปากมดลูก รวมถึงเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ โดยตัวการสำคัญที่ช่วยในการออกฤทธิ์ครั้งนี้ก็คือ สารเคอร์คิวมิน นอกจากนี้ยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยต้านการเกิดมะเร็งต่อร่างกายอีกด้วย ช่วยให้ภูมิคุ้มกันภายในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ ป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
3.
หญ้าปักกิ่ง ภาษาจีนมักเรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า เล้งจือเช่า แต่สำหรับคนไทยบางคนก็เรียกว่า หญ้าเทวดา รสชาติจะออกจืดๆ เย็นๆ แต่มีสรรพคุณชั้นเลิศในการช่วยยับยั้งอาการของโรคมะเร็งหลากหลายประเภท อาทิ มะเร็งตับ, มะเร็งลำคอ, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น หญ้าชนิดนี้มีกลุ่มสารกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ ซึ่งก็คือสารในการต้านมะเร็งระยะเริ่มต้น ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับการป้องกันมะเร็งให้กับร่างกาย
4.
เห็ดหลินจือ เห็ดหลินจือจะมีสารที่เรียกว่า เยอมาเนี่ยม ที่จะช่วยเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันมะเร็งให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสารที่ไปดักจับตัวการต่างๆ ที่ก่อให้เกิดมะเร็งในร่างกายทำให้เม็ดเลือดขาวภายในร่างกายสามารถที่จะทำการต่อสู้กับโรคมะเร็งได้อย่างสบายๆ มีสารที่จะช่วยในการกำยัดอนุมูลอิสระที่อยู่ภายในร่างกายให้หายไปได้ ที่สำคัญยังถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะช่วยให้ร่างกายมีอายุยืนยาวอีกด้วย
5.
ว่านหางจระเข้ มีสารอะโลอีโมดินที่จะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำลายเชื้อมะเร็งในร่างกายได้ นอกจากนี้ยังมีเอสแมนเน่น ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญยังช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ปกติภายในร่างกายแต่จะทำการต่อต้นเซลล์มะเร็งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายด้วย
ทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ รักษามะเร็งได้หรือไม่ 

แม้ว่าจะมีสรรพคุณมากมาย แต่สรรพคุณเด่นที่โด่งดังที่สุดของทุเรียนน้ำก็คือความสามารถในการรักษาโรคมะเร็ง ฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างได้ผลและไม่เป็นอันตราย โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสาร แอนโนนาเชียส เอคโทจีเนียส (Annonaceous acetogenins) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในทุเรียนน้ำ และสามารถต้านทำลายเซลล์มะเร็งทุกชนิด รวมไปถึงการฆ่าแบคทีเรียและเชื้อราอย่างได้ผลชะงัด

           อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้มีผลการรับรองจากห้องทดลองหลายแห่งรวมทั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุเรียนน้ำนั้นสามารถช่วยในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ถึง 12 ชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แถมมหาวิทยาลัยคาทอลิกในเกาหลีใต้ยังได้ยืนยันอีกว่าฤทธิ์ของทุเรียนน้ำในการฆ่าเซลล์มะเร็งนั้น มีฤทธิ์มากกว่าการทำเคมีบำบัดถึง 10,000 เท่า โดยไม่ส่งผลร้ายต่อเซลล์เนื้อเยื่อดีอื่น ๆ ในร่างกายของคนไข้ แถมในรายที่เกิดอาการดื้อยามะเร็ง ก็ยังส่ามารถใช้สารสกัดจากมะเร็งน้ำมาช่วยให้คนไข้หายจากการอาการดื้อยาได้อีกด้วย

           โดยสถาบันผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ชี้ให้เห็นความสามารถของสารสกัดจากทุเรียนน้ำ ดังนี้

https://img.kapook.com/image/icon/home.gif 
โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาเพราะเป็นผลผลิตตามธรรมชาติทั้งหมด ไม่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง สูญเสียน้ำหนักและเส้นผมหลุดร่วง เหมือนการทำเคมีบำบัด

https://img.kapook.com/image/icon/home.gif ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อร้ายแรง

https://img.kapook.com/image/icon/home.gif รู้สึกถึงความแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น ตลอดช่วงเวลาของการรักษา

https://img.kapook.com/image/icon/home.gif เพิ่มพลังงานชีวิตและปรับปรุงสภาพร่างกายภายนอกของคนไข้

วิธีใช้ทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ รักษามะเร็ง

           สำหรับการใช้ทุเรียนน้ำเพื่อรักษามะเร็งให้ได้ผลนั้น ให้นำใบทุเรียนน้ำตามธรรมชาติ สด ๆ มารับประทาน โดยคัดเลือกใบที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่แก่หรือมีสีเขียวเข้มมากเกินไป หรือ
การนำใบแห้งจากกระบวนการอบแห้งด้วยการเป่าลมร้อน (Air Dry) มาชงเป็นชาดื่ม โดยมีวิธีในการชงชาจากใบทุเรียนน้ำ ดังนี้

https://img.kapook.com/image/icon/nameicon_124964.gif ฉีกใบแห้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ และตวงให้ได้ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1 ลิตร

https://img.kapook.com/image/icon/nameicon_124964.gif นำใบทุเรียนเทศไปต้มกับน้ำ และลดไฟให้ต่ำ เคี่ยวอีก 20 นาที

https://img.kapook.com/image/icon/nameicon_124964.gif ใช้ดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร

           โดยให้ดื่มน้ำชาแบบนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย หากดื่มติดต่อกันมานานเกิน 30 วันแล้ว แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักก่อนสัก 1 สัปดาห์จึงค่อยดื่มชาต่อ

ข้อควรระวังในการรับประทานทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ

https://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/bear.gif 
1. มีงานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียนที่แสดงให้เห็นว่า ในผล เมล็ด และราก ของทุเรียนน้ำ มีสารแอนโนนาซิน (Annonacin)  ซึ่งมีความเชื่อมโยงสูงต่อการเกิดโรคพาร์คินสัน และมีสารอัลคาลอยด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการทรับประทานผล ราก หรือน้ำผลไม้ที่ทำจากทุเรียนน้ำมากจนเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันทุกวัน

https://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/bear.gif 2. จากการทดลองพบว่า สารสำคัญในทุเรียนเทศนั้นจะไม่สามารถสกัดหรือสังเคราะห์ออกมาได้ ดังนั้นหากต้องการได้รับสารดังกล่าว จะต้องบริโภคแบบธรรมชาติเท่านั้น การทานในรูปแบบของยาอัดเม็ดหรือผลบรรจุแคปซูลนั้นจะไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ เลยทั้งสิ้น

https://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/bear.gif 3. การทานทุเรียนน้ำให้ได้ประโยชน์นั้น ควรจะต้องรับประทานแบบธรรมชาติ หรือรับประทานสด ๆ เท่านั้น ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากทุเรียนน้ำที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้กระป๋อง หรือใบชาบดผ่านกระดาษกรอง เพราะกระบวนการในการผลิตเหล่านั้นล้วนแต่ทำให้ประสิทธิภาพของทุเรียนน้ำลดลง

https://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/bear.gif 4. การรักษามะเร็งให้ได้ผลจะต้องนำใบ หน่อ และกิ่ง ของต้นทุเรียนน้ำ มาต้มทำเป็นชา ขณะที่การนำผลของทุเรียนน้ำมาต้มเป็นชานั้นไม่ได้ให้ผลใด ๆ ในการรักษามะเร็ง เนื่องจากมีสารที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเซลล์มะเร็งอยู่น้อย 

สมุนไพรรักษามะเร็ง

        แก่นฝาง
 มาจากแก่นไม้ของต้นฝาง ต้นฝางชนิดนี้คือ ฝางเสน เพราะว่าแก่นเป็นสีแดงเข้ม (มีอีกชนิดคือฝางส้ม ตัวแก่นจะเป็นสีเหลือง) สีแดงดังกล่าว เกิดจาก Brazilin ที่อยู่ในแก่นฝาง ซึ่งสารตัวนี้เมื่อถูกอากาศหรือแสงจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม  แต่เมื่อละลายได้ในน้ำ แอลกอฮอล์ อีเธอร์ และสารละลายด่าง จะให้สีแดงเข้ม (Carmine-red color) ด้วยลักษณะเฉพาะตัวดังกล่าว เลยมีการนำมาน้ำยาอุทัยทิพย์ที่เรารู้จักกันดีสมัยเราเป็นวัยรุ่นแรกแย้ม และใช้เป็นครื่องสำอางค์ด้วย แต่ตัวแก่นฝางเองไม่มีกลิ่นใดๆ ที่เราได้กลิ่นในน้ำยาอุทัยทิพย์นั้น มาจากกลิ่นของสมุนไพร และดอกไม้อื่นๆกว่า 10 ชนิดที่ใส่เพิ่มลงไปเป็นสูตรลับเฉพาะของโอสถสภา ก็มีพวกหลาบ กระดังงา มะลิ จันทร์ชะมด จันทร์เทศ พิมเสน คำฝอย เป็นต้น
คราวนี้มาดูกันว่าแก่นฝางช่วยอะไรได้บ้าง
สรรพคุณทางยาที่โดดเด่น
คุณสมบัติทางยาของสารประกอบในแก่นฝาง ได้จากสารในกลุ่มกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นหลัก และสารอื่นๆในกลุ่มสเตอรอยด์ (sterols) (สเตอรอยด์จากธรรมชาติไม่เป็นอันตราย แต่ที่กลัวกันเป็นสเตอรอยด์สังเคราะห์ทางเคมี) แก่นฝางมีสรรพคุณเด่นๆ ดังนี้
1.   (ข้อนี้ ดอกจัน 5 ดอกไปเลย เพราะเป็นจุดเด่นของเขาเลย) ช่วยบำรุงระบบเลือด
บำรุงโลหิตสตรี ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก รักษาประจำเดือนมาไม่ปกติ  ขับระดู แก้อาการหัวใจขาดเลือด (จุกเสียดแน่นและเจ็บหน้าอก) กระจายเลือดที่อุดตัน ลดการปวดมดลูกในสตรีหลังคลอด ให้นำมาต้มกินก่อนประจำเดือนจำมา จะช่วยทำให้ประจำเดือนไม่เสียและมาสม่ำเสมอ อย่างผึ้งเอง เป็นคนเลือดน้อย มีประจำเดือนแค่ 3 วันเอง อย่างนี้ควรดื่มบำรุงด่วนๆเลย เนื่องจากสารสกัดในแก่นฝางมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด โดยสารสกัดจากแก่นฝางที่ความเข้มข้น 10ไมโครกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด aorta ได้
แก้เลือดออกทางทวารหนัก และแก้อาการเลือดออกภายในอวัยวะต่างๆ เช่น แก้เลือดกำเดา แก้เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือในลำไส้หรือคนที่ขาดวิตามินเค มักเลือดไหลหยุดช้า คนที่เส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย และคนที่มีเลือดกำเดาออกบ่อย ดื่มน้ำฝางจะค่อยๆ ช่วยให้เลือดหยุดไหลได้
2.   ช่วยต้านการอักเสบต่างๆในร่างกาย (Anti-inflammation) (Min et al., 2012) เช่น
แก้ปอดพิการขับหนอง รักษาวัณโรค ขับเสมหะ แก้โรคหืด แก้ร้อนใน ช่วยลดความร้อนในร่างกาย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ธาตุพิการ
ยกตัวอย่างงานวิจัยหนึ่ง เขาพบว่าสาร brazilin ที่สกัดได้จากแก่นฝาง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนู ที่ถูกทำให้เกิดการอักเสบที่เท้า (ฉีด Carageenin ในขนาด 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม)
3.   ฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้ จึงช่วยแก้ท้องเสีย ท้องร่วง
จากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากแก่นฝาง ที่ความเข้มข้น 5 มิลลิกรัม สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคทางเดินอาหาร ได้แก่ Staphylococcus aureusShigella flexneriVibrio cholerae และ V. parahaemolyticus และสารสกัดจากแก่นฝางที่ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ Dysenteriae และ Escherichia coli ได้
4.   ยับยั้งเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็ง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และต้านอาการภูมิแพ้ชนิดต่างๆได้ดี
อันนี้น่าสนใจมากๆ เพราะมีการค้นพบว่า สารสกัดจากแก่นฝางด้วยเมธานอล-น้ำ (1:1) และน้ำ สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวน human HT-1080 fibrosarcoma cell ได้ ซึ่งเซลล์ดังกล่าว คือเซลล์มะเร็งที่มีคุณสมบัติแพร่กระจาย
เห็นประโยชน์มากมายขนาดนี้ เรามาทำน้ำยาอุทัยทำมือ ดี่มกันดีกว่า!!!
วิธีทำ 1. ต้มในน้ำเดือด โดยนำแก่นฝางประมาณ 5-6 ชิ้น ใส่ในน้ำหม้อหนึ่ง (น้ำประมาณ 1 ลิตร) แต่ปรับปริมาณได้ตามความต้องการว่าอยากได้สีชมพู หรือแดงแค่ไหน แล้วต้มให้เดือดประมาณ 5-10 นาที จะเห็นน้ำเปลี่ยนเป็นเฉดสีชมพู ไปจนถึงแดงเหมือนกระเจี๊ยบ แล้วตักเอาแก่นออก ดื่มแบบอุ่นๆ หรือใส่น้ำแข็งดื่มให้ชื่นใจก็แล้วแต่ ส่วนแก่นที่เอาออกมา เอาไปผึ่งให้แห้ง สามารถเก็บไว้ต้มได้อีก 2-3 ครั้ง
จะแอบนำน้ำฝางที่ต้มแบบเข้มข้นมา ป้ายแก้มให้อมชมพูใสๆแบ๊วๆ ก็ได้นะคะ

วิธีทำ 2. มีอีกวิธีง่ายๆมานำเสนอค่ะ กรณีไม่มีหม้อต้มและอยากจะทำดื่มเป็นครั้งๆไป ให้ชงในน้ำร้อน โดยใส่แก่นฝางฉีกเป็นเสี้ยวเล็กๆ ใส่ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 5-15 นาที ยิ่งทิ้งไว้นานสารและสีจากแก่นฝางก็จะออกมามากขึ้น จะเห็นสีที่ชัดเข้มขึ้นๆ จากสีชมพูอ่อนๆ และเข้มขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นสีแดง เหมือนวิธีต้ม

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560